Dear Pushkar, India
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว เราได้เดินทางไปอินเดียเป็นเวลาสิบวัน สิบวันที่เราแทบจะไม่ได้อัพเดทอะไรบนโลกโซเชียลเลย แต่มีสิ่งนึง ที่เราอยากพูดถึงเรื่องราวในครั้งนี้ นั้นก็คือเมืองพุชก้า
แรกเริ่มที่เราวางแผนการเดินทาง เรามองพุชก้าเป็นเพียงเมืองทางผ่านระหว่างชัยปุระและจอดปูร์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันที่จะเดินทางไป จะไปตรงกับเทศกาล Pushkar Camal Fair แต่ในเมื่อมันต้องผ่าน เราจึงตั้งใจว่าให้พุชก้าเป็นจุดพักรถก่อนเดินทางไปยังเมืองอื่นต่อ
เราเริ่มต้นกันตอนบ่ายแก่ๆ ในวันที่ 4 ของการเดินทาง รถเราค่อยๆ เคลื่อนผ่านงาน Pushkar Camal Fair ไปด้วยความเร็วที่กำลังพอดี จนเรามองเห็นบรรยากาศข้างถนนได้ทัน ซุ้มและแคมป์จำนวนมากที่เต็มไปด้วยม้า และอูฐ เหล่าพ่อค้ากำลังทำมาค้าขาย ในใจเราเริ่มรู้สึกเฟล ว่านี่หรอเทศกาลอูฐที่หลายคนบอกว่าอยากมา ทำไมมันดูไม่เห็นมีอะไรเลย
เราขอให้คนขับรถจอดและพาเราลงตรงโซนที่เค้าขายอูฐ เราเริ่มเดินไปทั่วจนมองเห็นควันจากกองไฟของคาราวานพ่อค้าเริ่มโชย ท้องฟ้าที่ขณะนี้เปลี่ยนเป็นสีส้ม บรรยากาศยิ่งขับความมีเสน่ห์ของที่นี่ขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว
เราเดินผ่านไปตามฝูงอูฐ และพ่อค้า แสงที่ใกล้ลับ ทำให้เราไม่สามารถลั่นชัตเตอร์ได้ตามใจชอบได้อีก ไม่นานมากทุกอย่างรอบตัวเราเริ่มมืดสนิท เราอาศัยไฟฉายจากโทรศัพท์คลำทางไปเรื่อยๆ ที่แน่ๆตอนนี้เราหาเพื่อนไม่เจอ เพราะต่างคนต่างแยกย้ายกันเดิน
และไม่นานเราก็ได้ยินเสียงเรียกให้เดินเข้าไปในเพิงอะไรสักอย่าง เราส่องไฟและเดินไปอย่างงงๆ จนเจอเพื่อนตัวเองกำลังนั่งคุยกับกลุ่มเพื่อนใหม่ และเมื่อไฟจากกองฟืนลุกโชนขึ้น ภาพที่เห็นชัดกับตาคือเราได้มาอยู่กลางบ้านของใครก็ไม่รู้ บ้านที่ว่าไม่อาจจะเรียกว่าบ้านได้เต็มปากนัก มันเป็นเพียงบ้านที่ถูกล้อมด้วยกิ่งไม้ขัดกันไปเรื่อยๆ จนเป็นวงกลม มีเพียงเพิงเล็กๆ และมีแพะผูกไว้ติดกับตัวบ้าน
ไม่ทันไร ชายหนุ่มที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเจ้าของบ้าน ก็จัดแจงปูเบาะให้เรานั่ง ด้วยความเคยชินเรารีบบอกว่าเราไม่มีเงินให้เค้านะ (ต้องบอกก่อนว่าที่อินเดีย ถ้าแค่ถ่ายรูปหรือมีใครทำอะไรให้เรา สุดท้ายเค้ามักจะขอเป็นเงินรูปี) แต่สิ่งที่เค้าตอบกลับมาคือรอยยิ้มและเปรยว่า ' no problem, you're my guest' จากนั้นเค้าก็หัวเราะ และจ้องมาที่ในตาของเรา เรายิ้มกลับเป็นการขอบคุณจากหัวใจ และเราก็เห็นภรรยาเจ้าของบ้านเริ่มทำอะไรสักอย่างบนกองฟืน ส่วนคนอื่นๆ ภายในบ้านก็เข้ามาล้อมวงหยิบเครื่องดนตรีมาบรรเลงและขับร้อง ถือเป็นอีกเสียงเพลงที่ไพเราะมากสำหรับเรา เพียงไม่นานภรรยาก็นำชาไจร้อนๆ ที่ทำจากนมแพะที่ผูกไว้หน้าบ้านมาให้เราและเพื่อนๆ บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น มิตรภาพจากคนแปลกหน้าทำให้เราประทับใจจนเราเองก็บรรยายออกมาได้ไม่ถูก มิตรภาพจากการต้อนรับดังเหมือนเพื่อนสนิท และหยิบยื่นน้ำใจให้แก่ผู้อื่น อันที่จริงอาจดูไม่มากมายแต่นั้นเป็นการให้และแบ่งปันความสุขกันเรียกว่าเออล้นก็คงไม่ผิด
' เราขึ้นมาบนรถพร้อมความเงียบ ได้แต่นึกขอบคุณตัวเองที่ออกเดินทาง หากเราไม่พาตัวเองออกมาจากโลกใบเดิม เราจะไม่รู้เลยว่ามันยังมีอีกโลกที่ขนานกับเราไปในรูปแบบนี้ วิถีชีวิต บรรยากาศที่ยังคงติดตา ฝุ่นควัน กลิ่นของอูฐ มันอาจจะดูไม่น่าพิศมัยนัก แต่มันทำให้เราเกิดความรู้สึกใหม่ในใจมากมาย ที่ก็ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ว่ามันคืออะไร '
จากวันนั้นเสียงดนตรีจากบ้านน้อยหลังนั้นยังคงบรรเลงในหัวใจ และหากมีโอกาสเดินทางไปอินเดียอีกครั้ง เราคงไม่ลังเลที่จะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน
บันทึกถึงอินเดีย
Pushkar India,2017
#ABOVETHEMARS
#ไปชัยปุระไปกับแอร์เอเชีย